เรื่อง: สราลี
คำเตือนตัวโตๆ: นิทานเรื่องนี้ไม่ได้สอนให้รู้อะไรทั้งนั้น เพราะเราไม่นิยมชี้นิ้วสั่งสอนใคร แต่แค่จะเล่าการกำเนิดของสำนักพิมพ์เท่านั้น
กาลครั้งหนึ่ง เด็กน้อยผู้ใฝ่ฝันถึงห้องสมุดมหัศจรรย์
ณ ใจกลางเมืองกรุงฯ มีเด็กน้อยคนหนึ่งอาศัยอยู่ท่ามกลางหนังสือ เด็กน้อยชื่นชอบหนังสือมากถึงขนาดเก็บไปฝันว่าอยากมีห้องสมุดมหัศจรรย์เป็นของตัวเอง ห้องสมุดที่มีชั้นหนังสือสุดลูกหูลูกตา วางหนังสือได้ไม่จำกัด ที่สำคัญต้องมีลิฟท์วิเศษที่พาไปหยิบหนังสือที่ต้องการได้ดังใจหมาย (ใช่แล้ว เด็กน้อยเป็นแฟนหนังสือเรื่องลิฟต์มหัศรรย์ของ โรอัลด์ ดาห์ล)
เด็กน้อยฝันหวานถึงห้องสมุดมหัศจรรย์นี้ทั้งตอนตื่นและตอนนอน แต่ความฝันนี้ก็ไม่เป็นจริงซะที แหงละ ไม่ใช่ทุกความฝันจะต้องกลายเป็นความจริงนี่
กาลครั้งสอง เมื่อเด็กน้อยกลายมาเป็นคุณครู
เมื่อเติบโตขึ้น เด็กน้อยได้กลายมาเป็นคุณครู ถึงแม้จะยังไม่มีห้องสมุดมหัศจรรย์อย่างที่เคยฝัน แต่การเป็นคุณครูในโรงเรียนทำให้เด็กน้อยที่กลายมาเป็นคุณครูได้เข้าห้องสมุดและอ่านหนังสือกับเด็กๆ ทุกวัน แถมยังเลือกหนังสือที่จะเข้ามาอยู่ในห้องสมุดได้เองซะด้วย เสียแต่ว่าหนังสือที่มี ให้เลือกบางครั้งก็ไม่ถูกใจผู้ฟังและผู้อ่านสักเท่าไร โดยเฉพาะผู้อ่านที่อ่านไม่ค่อยคล่อง
เด็กน้อยที่กลายมาเป็นคุณครูจึงชวนเพื่อนครูมาทำหนังสือสนุกๆ ให้เด็กรู้สึกอยากอ่านและอ่านอย่างมั่นใจ จนเกิดหนังสือชุดแม่ห่านอ่านเก่งขึ้น หนังสือสำหรับเด็กเริ่มอ่าน จำนวน 10 เล่ม ให้เด็กๆ ทุกชาติและภาษาได้ฝึกอ่านภาษาไทยกันอย่างครื้นเครง ทันใดนั้นเอง เด็กน้อยที่กลายมาเป็นคุณครูก็ปลดล็อคสกิลจนได้กลายร่างมาเป็นคุณครูที่เขียนหนังสือเด็กและส่งหนังสือเด็กอีกเล่มมาติดๆ มีชื่อว่า แมวที่ไม่เคยยิ้ม
ตอนนี้เด็กน้อยฯ ไม่ค่อยอยากมีห้องสมุดมหัศจรรย์ของ ‘ตัวเอง’ แล้วละ ก็จะมีหนังสือมากมายเพื่อเก็บไว้อ่านเพียงคนเดียวทำไม ไม่เห็นสนุกเลย สู้ห้องสมุดที่มีผู้คนเข้ามาอ่านหนังสือเยอะๆ ก็ไม่ได้ ตอนนี้เด็กน้อยฯ อยากให้โรงเรียนและทุกชุมชนมีห้องสมุดเป็นของตัวเองมากกว่าแล้วละ
กาลครั้งสาม ออกทัศนศึกษาตามหาเพื่อนใหม่
20 กว่าปีผ่านไปไวเหลือเกิน เด็กน้อยที่กลายร่างมาเป็นคุณครูที่เขียนหนังสือเด็ก ยังได้กลายไปเป็นอะไรอีกหลายอย่างในโรงเรียนน้อยใหญ่ รวมไปถึงกระทรวง(เวทมนต์)ศึกษาแห่งประเทศไทย แต่ห้องสมุดมหัศจรรย์ที่ฝันไว้ก็ยังไม่เกิดขึ้นซะที
“ไม่ได้การละ ปล่อยไว้นานกว่านี้ห้องสมุดมหัศจรรย์ จะไม่ได้เกิดขึ้นแน่” เด็กน้อยฯ รำพึงกับตัวเอง ก่อนตัดสินใจลาออกจากการเป็นอะไรต่อมิอะไร แล้วกลับไปเป็นนักเรียนอีกครั้ง
ครั้งนี้เด็กน้อยออกเดินทางไกลข้ามทวีปไปยังประเทศอังกฤษ และยังคงเดินหน้าเรียนรู้ในด้านการศึกษาเช่นเคย แต่ที่เพิ่มเติมคือวรรณกรรมสำหรับเด็ก ที่นี่เองที่เด็กน้อยที่กลายเป็นนักเรียนได้ทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่ที่ชื่อ ‘อารมณ์ขัน’
เด็กน้อยที่กลายเป็นนักเรียนศึกษาเกี่ยวกับเพื่อนใหม่อย่างใกล้ชิด จนพบว่าเพื่อนคนนี้นอกจากจะน่าคบน่าอยู่ด้วยแล้ว ยังมีเวทมนต์ลับประจำตระกูล และเวทมนต์นี้จะเปล่งประกายเมื่อได้อยู่ในที่ที่ถูกที่ควร ว่าแล้วเด็กน้อยฯ ก็จูงมือเพื่อนใหม่ เจ้าอารมณ์ขัน ไปอยู่ในดินแดนหนังสือเด็ก แล้วเรื่องมหัศจรรย์ก็เกิดขึ้นที่นั่น…
กาลครั้งสี่ การร่วมมือระหว่างเด็กน้อยช่างฝันและเจ้าอารมณ์ขัน
เด็กน้อยฯ สังเกตว่าเวลาเจ้าอารมณ์ขันกระโดดโลดเต้นอยู่ในหนังสือเด็กเมื่อไรนี่นะ นอกจากทำให้เด็กๆ ยิ้มและหัวเราะ จนหยุดอ่านหนังสือไม่ได้แล้ว ยังช่วยจุดประกายความสร้างสรรค์ให้กับเด็กๆ อีกด้วย ว่าแล้วเธอก็หันไปชวน ‘เจ้าอารมณ์ขัน’ เพื่อนรัก “มาทำหนังสือเด็กด้วยกันไหม หนังสือของพวกเราจะได้ไปอยู่ในห้องสมุดมหัศจรรย์”
“พวกเราจะตั้งชื่อสำนักพิมพ์ว่าอะไรดีนะ” เด็กน้อยฯ เปรย
เจ้าอารมณ์ขันที่กำลังกินกล้วยอย่างเอร็ดอร่อยก็ร้องขึ้นมาว่า “กล้วย กล้วย กล้วย น้องเคยเห็นกล้วยหรือเปล่า กล้วยมันตัวเหลืองไม่เบา รองเท้าไม่ใส่ เพราะชอบเปลือย มีเปลือกบางๆไว้ให้ปอก กินแล้วหวานหอมอร่อยจัง” แล้วทั้งคู่ก็หัวเราะขึ้นพร้อมกัน
กาลครั้งห้า ณ ดินแดนกล้วยเท้าเปล่า
ใช่แล้ว หลังจากนั้น “กล้วยเท้าเปล่า” หรือ Barefoot Banana สำนักพิมพ์เด็กที่รุ่มรวยไปด้วยเรื่องขันๆ ก็ได้กำเนิดขึ้น ที่นี่ นอกจากจะแจกจ่ายอารมณ์ขันในหนังสืออย่างสม่ำเสมอแล้ว เด็กน้อยยังขนความรู้และประสบการณ์มาสร้างหนังสือให้เด็กได้เรียนรู้โลกความเป็นจริงที่หลากหลาย ผ่านจินตนาการและการคิด เพราะที่กล้วยเท้าเปล่าสนพ.ไม่ได้ย่อมาจากแค่สำนักพิมพ์ แต่เป็นการ ‘สร้างนักคิดของวันพรุ่งนี้’ อีกด้วย
ไม่มีคำว่าอวสานในนิทานเรื่องนี้ กลับกัน นี่คือการเริ่มต้น หนังสือเล่มแรกจาก ดินแดนกล้วยเท้าเปล่าจะขำแค่ไหน เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ห้องสมุดมหัศจรรย์จะไปอยู่ที่ไหน
“โปรดติดตามตอนต่อไป”